ค้นหาบล็อกนี้

วันอาทิตย์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2564

stop bullying


การกลั่นแกล้งเป็นพฤติกรรมที่ไม่พึงปรารถนาและก้าวร้าวในเด็กวัยเรียนที่เกี่ยวข้องกับความไม่สมดุลของอำนาจที่แท้จริงหรือที่รับรู้ พฤติกรรมดังกล่าวเกิดขึ้นซ้ำๆ หรือมีโอกาสเกิดขึ้นซ้ำๆ เมื่อเวลาผ่านไป ทั้งเด็กที่ถูกรังแกและคนที่รังแกผู้อื่นอาจเกิดปัญหาร้ายแรงและยั่งยืน

พฤติกรรมต้องก้าวร้าว
  • ความไม่สมดุลของอำนาจ: เด็กที่กลั่นแกล้งใช้อำนาจของตน เช่น ความแข็งแกร่งทางกายภาพ การเข้าถึงข้อมูลที่น่าอับอาย หรือความนิยม เพื่อควบคุมหรือทำร้ายผู้อื่น ความไม่สมดุลของอำนาจสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาและในสถานการณ์ที่แตกต่างกัน แม้ว่าจะเกี่ยวข้องกับคนกลุ่มเดียวกันก็ตาม
  • ซ้ำซาก: พฤติกรรมการกลั่นแกล้งเกิดขึ้นมากกว่าหนึ่งครั้งหรือมีโอกาสเกิดขึ้นมากกว่าหนึ่งครั้ง

การกลั่นแกล้งรวมถึงการกระทำต่างๆ เช่น การข่มขู่ การเผยแพร่ข่าวลือ การโจมตีบุคคลอื่นทางร่างกายหรือทางวาจา และการแยกบุคคลออกจากกลุ่มโดยเจตนา

การกลั่นแกล้งมีสี่ประเภท:

  • การกลั่นแกล้งทางวาจา  คือการพูดหรือเขียนสิ่งที่ไม่ดี การกลั่นแกล้งทางวาจารวมถึง:
    • ล้อเล่น
    • เรียกชื่อ
    • ความคิดเห็นทางเพศที่ไม่เหมาะสม
    • เยาะเย้ย
    • ขู่ว่าจะทำร้าย
  • การกลั่นแกล้งทางสังคมบางครั้งเรียกว่าการกลั่นแกล้งเชิงสัมพันธ์ เป็นการทำร้ายชื่อเสียงหรือความสัมพันธ์ของใครบางคน การกลั่นแกล้งทางสังคมรวมถึง:
    • ตั้งใจทิ้งใครสักคน
    • บอกลูกคนอื่นว่าอย่าเป็นเพื่อนกับใคร
    • ปล่อยข่าวลือเกี่ยวกับใครบางคน
    • อายใครในที่สาธารณะ
  • การกลั่นแกล้งทางกายเกี่ยวข้องกับการทำร้ายร่างกายหรือทรัพย์สินของบุคคล การกลั่นแกล้งทางกายภาพรวมถึง:
    • ตี/เตะ/หนีบ
    • คาย
    • สะดุด/ผลัก
    • การยึดหรือทำลายสิ่งของของใครบางคน
    • การทำท่าทางมือที่หยาบคายหรือหยาบคาย
  • การกลั่นแกล้งทางอินเทอร์เน็ตเกี่ยวข้องกับการใช้โทรศัพท์หรืออินเทอร์เน็ตเพื่อทำร้ายความรู้สึกของผู้อื่นหรือทำลายชื่อเสียงหรือความสัมพันธ์ของพวกเขา การกลั่นแกล้งทางอินเทอร์เน็ตรวมถึง:
    • การส่งข้อความหรือรูปภาพที่เป็นอันตราย
    • การแสดงความคิดเห็นบนเว็บไซต์เครือข่ายโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook, Instagram หรือ Snapchat
    • ขู่เข็ญทางโทรศัพท์หรือออนไลน์
    • ใช้โซเชียลมีเดีย โทรศัพท์ หรืออินเทอร์เน็ตเพื่อเผยแพร่ข่าวลือ


โครงการนักเรียนก้าวทันยุติการรังแกในโรงเรียนและโซเซียลมีเดีย
อบรมปฏิบัติการ “พัฒนาความรู้ ทักษะชีวิต เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน รู้เท่าทันสื่อ ในยุคดิจิทัล”

                    วิวัฒนาการของเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ ระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต และเครือข่ายสังคมออนไลน์ ที่ต่างก็หลอมรวมบรรจบเข้าสู่ยุคหลอมรวมสื่อ เหล่านี้มีส่วนสำคัญในการเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิตและการสื่อสารของคนในสังคมอย่างมาก โดยเป็นข้อบ่งชี้ว่าสื่อหรือเครื่องมือสื่อสารที่ได้รับความนิยมในแต่ละช่วงเวลาจะมีอิทธิพลต่อความคิดของคน และเป็นปัจจัยที่กำหนดกรอบแนวคิดและความเข้าใจในการมองโลกในปัจจุบันของแต่ละคน และเมื่อเทคโนโลยีพัฒนาก้าวหน้าส่งผลให้เกิดเครื่องมือสื่อสารที่ทันสมัยมากขึ้น เช่น สมาร์ทโฟน (Smartphone) แท็บเล็ต (Tablet) เป็นต้น ซึ่งเครื่องสือสื่อสารยิ่งทันสมัยยิ่งทำให้การสื่อสารบนโลกออนไลน์สะดวกรวดเร็วมากขึ้นจนกลายมาเป็น โซเชียลมีเดีล (SocialMedia) เพราะสร้างให้เกิดโซเชียลเน็ตเวิร์ค (Social Network) หรือเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่มนุษย์ติดต่อสื่อสารกันด้วยเทคโนโลยีอันทันสมัยต่างๆ เกิดเป็นการสื่อสาร 2 ทางที่ฉับไว เกิดการแบ่งปันข้อมูลทุกประเภทอย่างรวดเร็ว โซเชียลมีเดีย จะมีแอปใหม่ ๆ และประสบการณ์ออนไลน์ใหม่ ๆ อยู่เสมอ การสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับเยาวชนจึงเป็นวิธีการสนับสนุนสามารถใช้สือไปในทางที่ถูกต้อง สร้างสรรค์ เป็นประโยขน์ต่อตนเองและสังคมได้มากขึ้น

                    โรงเรียนบ้านหัวดอยได้เห็นความสำคัญในการพัฒนาด้านอารมณ์ และจิตใจของเด็กวัยเรียน จึงเพิ่มกระบวนการเรียนรู้ให้ผู้เรียนได้พัฒนาความรู้ มีทักษะชีวิต เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน รู้เท่าทันสื่อ ในยุคดิจิทัล ผ่านกิจกรรมที่จัดขึ้นในรูปแบบต่างๆ ทำให้เยาวชนได้เรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ๆ และพัฒนาทักษะด้านต่างๆ ตามความสนใจของตนเอง เรียนรู้กระบวนการทำงานเป็นกลุ่ม เพื่อพัฒนาคนให้มีศักยภาพรอบด้าน ทั้งร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญา ในสภาวะแวดล้อมทางสังคมที่ปลอดภัยและเอื้ออาทร และลดปัญหาพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของวัยรุ่น




วันอาทิตย์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

ประเพณีวัฒนธรรมทางศาสนา วันอาสาฬหบูชา และ วันเข้าพรรษา ประจำปี 2564

                

                   นายสังวาลย์  คำจันทร์  ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านหัวดอย  นำคณะครูและตัวแทนนักเรียน ถวายเทียนพรรษาและผ้าอาบน้้ำฝน ที่วัดในเขตพื้นที่บริการของโรงเรียน  5 หมู่บ้าน  ในตำบลท่าสาย ในวันศุกร์ที่  23  กรกฎาคม  2564   วันเข้าพรรษา เป็นวันสำคัญในพุทธศาสนาวันหนึ่ง ที่พระสงฆ์อธิษฐานว่าจะพักประจำอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่ง ตลอดระยะเวลาฤดูฝนที่มีกำหนดเป็นระยะเวลา 3 เดือน ตามที่พระธรรมวินัยบัญญัติไว้ โดยไม่ไปค้างแรมที่อื่น หรือที่เรียกติดปากกันโดยทั่วไปว่า จำพรรษา ("พรรษา" แปลว่า ฤดูฝน, "จำ" แปลว่า อยู่) พิธีเข้าพรรษานี้ถือเป็นศาสนพิธีสำหรับพระภิกษุโดยตรง ละเว้นไม่ได้ ไม่ว่ากรณีใดๆ ก็ตาม เริ่มนับตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 ของทุกปี และสิ้นสุดลงในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 หรือวันออกพรรษา

ประวัติวันเข้าพรรษา

            ในสมัยพุทธกาลนั้น พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงบัญญัติพระวินัยให้พระสงฆ์สาวกอยู่ประจำพรรษา เหล่าภิกษุสงฆ์จึงต่างพากันออกเดินทางเผยแผ่พระพุทธศาสนาในที่ต่างๆ โดยไม่ย่อท้อทั้งในฤดูหนาว ฤดูร้อน และฤดูฝน ต่อมาชาวบ้านได้พากันติเตียนว่า พวกสมณะไม่ยอมหยุดพักสัญจรแม้ในฤดูฝน ในขณะที่นักบวชในศาสนาอื่น พากันหยุดเดินทางในช่วงฤดูฝน การที่พระภิกษุสงฆ์จาริกไปในที่ต่างๆ แม้ในฤดูฝน อาจเหยียบย่ำข้าวกล้าของชาวบ้านได้รับความเสียหาย หรืออาจไปเหยียบย่ำโดนสัตว์เล็กสัตว์น้อยที่ออกหากินจนถึงแก่ความตาย เมื่อพระพุทธเจ้าทราบเรื่อง จึงได้วางระเบียบให้ภิกษุประจำอยู่ที่วัดเป็นเวลา 3 เดือน พระสงฆ์ที่เข้าจำพรรษาแล้วจะไปค้างแรมที่อื่นไม่ได้ แต่ถ้าหากเดินทางออกไปแล้วและไม่สามารถกลับมาในเวลาที่กำหนด คือ ก่อนรุ่งสว่าง ก็จะถือว่าพระภิกษุรูปนั้น"ขาดพรรษา"  แต่หากมีกรณีจำเป็นบางอย่าง พระภิกษุผู้จำพรรษาสามารถไปค้างที่อื่นได้ โดยไม่ถือว่าเป็นการขาดพรรษา แต่ก็จะต้องกลับมาภายในระยะเวลาไม่เกิน 7 วัน ก็คือ

  1. การไปรักษาพยาบาลภิกษุ หรือบิดามารดาที่เจ็บป่วย
  2. การไประงับภิกษุสามเณรที่อยากจะสึกมิให้สึกได้
  3. การไปเพื่อกิจธุระของคณะสงฆ์ เช่น การไปหาอุปกรณ์มาซ่อมกุฏิที่ชำรุด
  4. หากทายกนิมนต์ไปทำบุญ ก็ไปฉลองศรัทธาในการบำเพ็ญกุศลของเขาได้

ประเภทของการเข้าพรรษา  การเข้าพรรษาแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ

  1. ปุริมพรรษา (เขียนอีกอย่างว่า บุริมพรรษา) คือ การเข้าพรรษาแรก เริ่มตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 (สำหรับปีอธิกมาส คือ มีเดือน 8 สองหน จะเริ่มในวันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 หลัง) จนถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 หลังจากออกพรรษาแล้ว พระที่อยู่จำพรรษาครบ 3 เดือน ก็มีสิทธิที่จะรับกฐินซึ่งมีช่วงเวลาเพียงหนึ่งเดือน นับตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ถึงขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12
  2. ปัจฉิมพรรษา คือ การเข้าพรรษาหลัง ใช้ในกรณีที่พระภิกษุต้องเดินทางไกลหรือมีเหตุสุดวิสัย ทำให้กลับมาเข้าพรรษาแรกในวันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 ไม่ทัน ต้องรอไปเข้าพรรษาหลัง คือวันแรม 1 ค่ำ เดือน 9 แล้วจะไปออกพรรษาในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ซึ่งเป็นวันหมดเขตทอดกฐินพอดี ดังนั้นพระภิกษุที่เข้าปัจฉิมพรรษาจึงไม่มีโอกาสได้รับกฐิน แต่ก็ได้พรรษาเช่นเดียวกับพระที่เข้าปุริมพรรษาเหมือนกัน

เครื่องอัฏฐบริขารของภิกษุระหว่างการจำพรรษา

โดยปรกติเครื่องใช้สอยของพระภิกษุตามพุทธานุญาตที่ให้มีประจำตัวนั้น มีเพียง อัฏฐบริขาร ซึ่งได้แก่ สบง จีวร สังฆาฏิ เข็ม บาตร รัดประคด หม้อกรองน้ำ และมีดโกน แต่ช่วงหน้าฝนของการจำพรรษาในสมัยก่อนนั้น กว่าพระสงฆ์จะหาที่พักแรมได้ บางครั้งก็ถูกฝนเปียกปอน ชาวบ้านผู้ใจบุญจึงถวาย "ผ้าจำนำพรรษา" หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า ผ้าอาบน้ำฝน เพื่อให้พระสงฆ์ได้ผลัดเปลี่ยน และยังถวายของจำเป็นแก่กิจประจำวันเป็นพิเศษในช่วงเข้าพรรษา จนเป็นประเพณีทำบุญสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน

การปฏิบัติตนในวันเข้าพรรษา

แม้การเข้าพรรษาจะเป็นเรื่องของภิกษุ แต่พุทธศาสนิกชนก็ถือเป็นโอกาสดีที่จะได้ทำบุญ รักษาศีล และชำระจิตใจให้ผ่องใส ในวันนี้หรือก่อนวันนี้หนึ่งวัน พุทธศาสนิกชนมักจะจัดเครื่องสักการะเช่น ดอกไม้ ธูปเทียน เครื่องใช้ เช่น สบู่ ยาสีฟัน เป็นต้น มาถวายพระภิกษุ สามเณรที่ตนเคารพนับถือ หรือมีการช่วยพระทำความสะอาดเสนาสนะ ซ่อมแซมกุฏิวิหารและอื่นๆ พอถึงวันเข้าพรรษาก็จะไปร่วมทำบุญตักบาตร ฟังเทศน์ ฟังธรรมและรักษาอุโบสถศีลกันที่วัด บางคนอาจตั้งใจงดเว้นอบายมุขต่างๆ เป็นกรณีพิเศษ เช่น งดเสพสุรา งดฆ่าสัตว์ เป็นต้น

มีประเพณีที่สำคัญและสืบทอดกันเรื่อยมา ก็คือ ประเพณีหล่อเทียนพรรษา สำหรับให้พระภิกษุและพุทธศาสนิกชนทั่วไปได้จุดบูชาพระประธานในโบสถ์ซึ่งเทียนพรรษาสามารถอยู่ได้ตลอด 3 เดือน และเป็นกุศลทานอย่างหนึ่งในการให้ทานด้วยแสงสว่าง อีกทั้งมีการ "ประกวดเทียนพรรษา" ของแต่ละจังหวัดโดยจัดเป็นขบวนแห่ทั้งทางบกและทางน้ำ

กิจกรรมต่างๆ ที่ควรปฏิบัติในวันเข้าพรรษา

1.ร่วมกิจกรรมทำเทียนจำนำพรรษา
2.ร่วมกิจกรรมถวายผ้าอาบน้ำฝน และจตุปัจจัย แก่ภิกษุสามเณร
3.ร่วมทำบุญ ตักบาตร ฟังพระธรรมเทศนา รักษาอุโบสถศีล
4.อธิษฐาน งดเว้นอบายมุขต่างๆ
5.อยู่กับครอบครัว


วันศุกร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

พิธีไหว้ครู ประจำปีการศึกษา 2564

              นายสังวาลย์  คำจันทร์  ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านหัวดอย เป็นประธานในพิธีไหว้ครู ประจำปีการศึกษา 2564   ในปีนี้ครูหัวหน้าช่วงชั้นพร้อมด้วยคณะครูบุคลากร  ได้นำนักเรียนจัดกิจกรรมไหว้ครู ภายใต้สถานการณ์ การควบคุมโรคติดต่อ covid-19  แต่ถึงแม้จะมีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19   ก็มีวิธีในการป้องกันและจัดระเบียบกิจกรรมต่างๆ  ให้ออกมาเป็นไปตามประเพณีวันไหว้ครู เพื่อให้ศิษย์จะได้แสดงถึงคุณธรรมภายในจิตใจ คำว่า “ไหว้ครู” ถึงแม้ว่าจะเป็นถ้อยคำที่แสนธรรมดาสามัญที่ใครหลายๆ คนต่างเข้าใจกันดีอยู่ แต่จริงๆ แล้ว วันไหว้ครู คือวันที่บรรดาศิษย์ทั้งหลายจะได้แสดงความเคารพและสักการะต่อครูบาอาจารย์  ผู้มีพระคุณ  ตลอดจนผู้เสียสละชี้ทางและให้แสงสว่างแก่ศิษย์โดยไม่คำนึงถึงความยากลำบาก


                    สิ่งที่สำคัญที่สุด ทางโรงเรียน โดยท่าน ผอ.สังวาลย์    คำจันทร์ ได้ให้โอวาทนักเรียน และเน้นให้เห็นความสำคัญของครูคนแรก   ซึ่งก็คือคุณพ่อ  คุณแม่   และผู้ปกครองของนักเรียนทุกคน ที่เป็น "ครู" สอนนักเรียนอยู่ที่บ้าน  ในภาวะวิกฤติของโรคระบาดโควิด-19  ที่นักเรียนต้องเรียนอยู่ที่บ้าน โดยมีคุณพ่อคุณแม่และผู้ปกครองคอยกำกับดูแล
                 

                    การจัดพิธีไหว้ครูในปีนี้ ต่างจากปีก่อน ขอชื่นชมครูและนักเรียนที่สามารถบรูณาการ การจัด กิจกรรมเสร็จสิ้น สมบูรณ์แบบได้อย่างงดงาม  แม้ว่าจะมีอุปสรรณ์   ทั้งในเรื่องของการเรียนกาสอน และการสื่อสาร โดยฝ่ายประชาสัมพันธ์ได้รวบรวม VDO และภาพน่าประทับใจมาให้ชม 



สำหรับกรวยดอกไม้ธูปเทียน และสัญลักษณ์ของพิธีไหว้ครู จะประกอบด้วย
  • ดอกเข็ม ความหมายคือความหลักแหลม เฉลียวฉลาด
  • ดอกมะเขือ ความหมายคือความอ่อนน้อมถ่อมตน
  • หญ้าแพรก ความหมายคือความเจริญงอกงามได้ทุกสถานการณ์
  • ข้าวตอก ความหมายคือความแตกฉานในสรรพวิชา

วันอาทิตย์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

ความเสี่ยงด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ

ความเสี่ยงด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ , IT มีความเสี่ยง , ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับไอทีหรือความเสี่ยงไซเบอร์ใด ๆ ที่มีความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีสารสนเทศ ในขณะที่ข้อมูลได้รับการชื่นชมว่าเป็นสินทรัพย์ที่มีค่าและมีความสำคัญมาช้านาน การเพิ่มขึ้นของเศรษฐกิจความรู้และการปฏิวัติทางดิจิทัลทำให้องค์กรต่างพึ่งพาข้อมูล การประมวลผลข้อมูลและโดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านไอทีมากขึ้น เหตุการณ์หรือเหตุการณ์ต่างๆ ที่ประนีประนอม IT ในทางใดทางหนึ่งจึงสามารถส่งผลกระทบในทางลบต่อกระบวนการทางธุรกิจขององค์กรหรือภารกิจได้ ตั้งแต่ระดับที่ไม่สำคัญไปจนถึงระดับความหายนะ


🎯ความเสี่ยงด้านไอที ผลกระทบต่อภารกิจสุทธิเมื่อพิจารณา: ความน่าจะเป็นที่แหล่งภัยคุกคามเฉพาะจะใช้ช่องโหว่ของระบบข้อมูลโดยเฉพาะ (โดยบังเอิญหรือโดยเจตนา) ผลกระทบที่เกิดขึ้นหากสิ่งนี้ควรเกิดขึ้น ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับไอทีเกิดจากความรับผิดทางกฎหมายหรือการสูญเสียภารกิจอันเนื่องมาจาก:
👉การเปิดเผย ดัดแปลง หรือทำลายข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต (เป็นอันตรายหรือโดยไม่ได้ตั้งใจ)
👉ความผิดพลาดและการละเว้นโดยไม่ได้ตั้งใจ
👉การหยุดชะงักของไอทีเนื่องจากภัยพิบัติทางธรรมชาติหรือที่มนุษย์สร้างขึ้น
👉ความล้มเหลวในการใช้ความระมัดระวังและความขยันหมั่นเพียรในการ
👉ดำเนินการและการทำงานของระบบไอที

มีกองกำลังพื้นฐานสี่ประการที่เกี่ยวข้องกับการจัดการความเสี่ยง ซึ่งนำไปใช้กับความปลอดภัยทางไซเบอร์ด้วย สิ่งเหล่านี้คือทรัพย์สิน ผลกระทบ ภัยคุกคาม และโอกาส คุณมีความรู้ภายในและสามารถควบคุมสินทรัพย์ได้อย่างยุติธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่จับต้องได้และจับต้องไม่ได้ซึ่งมีมูลค่า คุณยังมีสิทธิ์ควบคุมผลกระทบซึ่งหมายถึงการสูญเสียหรือความเสียหายต่อทรัพย์สิน อย่างไรก็ตามภัยคุกคามที่เป็นตัวแทนของศัตรูและวิธีการโจมตีนั้นอยู่นอกเหนือการควบคุมของคุณ โอกาสเป็นไวลด์การ์ดในกลุ่ม โอกาสจะเป็นตัวกำหนดว่าภัยคุกคามจะเกิดขึ้น สำเร็จ และสร้างความเสียหายเมื่อใดและเมื่อใด แม้ว่าจะไม่เคยอยู่ภายใต้การควบคุมของคุณอย่างเต็มที่ แต่ก็สามารถกำหนดแนวโน้มและมีอิทธิพลต่อการจัดการความเสี่ยงได้



ช่วยแปล