ช่วยแปล


ค้นหาบล็อกนี้

วันศุกร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2564

บรรทัดฐานคืออะไร

บรรทัดฐานคืออะไรและเหตุใดเราต้องมีบรรทัดฐาน

บรรทัดฐานเป็นเฟรมเวิร์กที่สมาชิกในทีมยึดมั่นในการดำเนินธุรกิจ การให้ความสนใจในการพัฒนาและการยึดมั่นในบรรทัดฐานจะช่วยสร้างความมั่นใจว่าทีมจะประสบความสำเร็จและส่งเสริมความสามารถของสมาชิกในการจัดการปัญหาสำคัญ บรรทัดฐานประกอบด้วยหลายองค์ประกอบที่สร้างไดนามิกให้ทีม

องค์ประกอบของบรรทัดฐานที่ต้องเตรียม

เราจะพบกันเมื่อใดและที่ไหน จะเริ่มตรงเวลาหรือไม่  

 

การฟังเราฟังเพื่อนๆ ของเราอย่างไร มีแนวคิดแย่ๆ หรือไม่ เราจะทำให้คนอื่นๆ หยุดส่งเสียงรบกวนขณะที่มีคนกำลังพูดได้อย่างไร  

 

การรักษาความลับเนื้อหาอะไรที่ควรมีการรักษาความลับ เราสามารถแชร์ข้อมูลใดได้บ้างหลังจบการประชุม  

 

การตัดสินใจเราจะตกลงกันได้อย่างไร ถ้าทุกคนไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของกลุ่มจะทำอย่างไร  

 

การมีส่วนร่วมสามารถเลือกเข้าร่วมหรือไม่เข้าร่วมได้หรือไม่ เรามีนโนบายการเข้าร่วมประชุมหรือไม่  

สมาชิกไม่เข้าประชุมบ่อยครั้ง  

 

ความคาดหวังคุณคาดหวังอะไรจากสมาชิกในทีม เราจำเป็นต้องมีวิธีที่ทำให้สมาชิกแต่ละคนที่เข้าประชุมเตรียมข้อมูลที่เหมาะสมและรายการอื่นๆ มาด้วยหรือไม่  

  

ตัวอย่างบรรทัดฐานของทีม  

เราจะรักษาทัศนคติด้านบวกในระหว่างการประชุมได้อย่างไร  ราจะประชุมในหัวข้อและทำตามวาระการประชุม  


 เคล็ดลับ      

  • ทีมพัฒนาบรรทัดฐานของตนเอง  อ่านบรรทัดฐานในการประชุมแต่ละครั้ง  ยิ่งน้อยยิ่งดี  ถ้ามีการละเมิดบรรทัดฐานก็ควรแก้ไข  แสดงความคิดเห็นในการพัฒนาบรรทัดฐานเพื่อให้มั่นใจว่าได้ประโยชน์จาก  บรรทัดฐาน ถ้าสมาชิกในทีมไม่เข้าประชุมบ่อยครั้ง ทีมจะทำอย่างไร  การที่สมาชิกในทีมเซ็นต์เอกสารยอมรับบรรทัดฐานจะเป็นการยืนยันความหมายและความสำคัญ  


การศึกษา เป็นเรื่องความพยายามของบุคคลที่จะกำหนดแนวทางของวิวัฒนาการให้สอดคล้องกับอุดมคติในชีวิตของตนรวมทั้งวิธีการที่จะสร้างทัศนคติแบบของความประพฤติ เช่นการเรียนรู้จากบิดา-มารดา ญาติพี่น้องและคนอื่นๆภายในครอบครัว ตลอดจนการสั่งสอนอย่างเป็นทางการจาก วัดโรงเรียนแลมหาวิทยาลัย และการเรียนรู้อย่างไม่เป็นทางการซึ่งได้จากสังคมและการประกอบอาชีพ

การศึกษาจึงไม่ได้หมายความถึงแค่ไปโรงเรียนเท่านั้นแต่มีความหมายครอบคลุมไปถึงการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมและความรู้สึกนึกคิดรวมทั้งความสามารถในการอยู่ร่วมกับผู้อื่นซึ่งนักการศึกษาในปัจจุบันอ้างเสมอว่าการศึกษาหมายถึง ความเจริญทางปัญญา สังคม อารมณ์จิตใจ และพลานามัยด้วยเหตุนี้ สังคมที่เจริญจึงมีสถาบันที่รับผิดชอบแทนครอบครัวซึ่งได้แก่ โรงเรียน การศึกษาจึงถูกเพ่งเล็งให้เป็นการไปโรงเรียนจนกระทั่งในที่สุดสังคมก็โยนความรับผิดชอบต่างๆเกี่ยวกับความเจริญของเด็กให้แก่โรงเรียนเกือบทั้งสิ้นซึ่งข้อนี้ไม่เป็นผลดีเพราะครอบครัวควรจะเป็นหลักการอบรมให้กับเด็กมากกว่าเพราะในชีวิตของคนหนึ่งๆถ้ามีอายุ 60 ปี จะใช้เวลาเรียน 4-6 ปี และคนส่วนน้อยจะใช้เวลาศึกษาถึง 12 ปีขึ้นไปแต่ก็ไม่เกิน 20 ปี ในช่วงเวลานั้นก็ใช้เวลาอยู่ในโรงเรียน 1 ใน 4 ของเวลาเต็ม ส่วนเวลาที่เหลือเป็นเวลาที่เรียนจากครอบครัวและสิ่งแวดล้อม เมื่อบุคคลมีประสบการณ์จากโรงเรียนเป็นหลัก บวกกับที่ได้จากประสบการณ์ของตนเองและได้จากสื่อสารมวลชน ก็นำมาปรับปรุงเปลี่ยนแปลงในทางที่สังคมยอมรับซึ่งเท่ากับเป็นการศึกษาแบบไม่เป็นทางการและเป็นการศึกษานอกสถาบัน ดังนั้นการศึกษาจึงมีความหมายกว้างไกลกว่าการเรียนหนังสือและการไปโรงเรียน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ยินดีรับข้อติชมครับ